top of page

ผีโพง

image.png

ผีโพลง

ผีโพลง หรือ ผีโพง เป็นผีของไทยภาคเหนือ ขุนมหาวิชัย ได้เล่าไว้ว่า ผีโพงเรียกว่าผีกระสือ ผีชนิดนี้มักเกิดแต่คนที่มีว่านยาอันแรงคล้ายกับผีปอบ และมันมักติดแปดผู้อื่นได้ เป้นต้นว่า มันถ่มน้ำลายถูกผู้ใด ผู้นั้นมักกลายเป้นผีโพงเหมือนผู้ที่เป็นแล้ว หรือถ้ามันไม่ชอบผู้ใด แล้เอาไม้คานหาบน้ำของแม่หม้ายไปขว้างข้ามหลังคาเรือนแล้ว มักทำให้ผู้นั้นฉิบหาย กริยาที่ผีโพลงชอบ คือ ฝนตกพรำ มันมักออกหากินพวกของโสโครกในเวลาดึก และมักจะเที่ยวด้อมๆ มองๆ ตามใต้ถุนเรือน ที่มีผู้หญิงอยู่ไฟ เขากล่าวว่า ผู้หนึ่งได้เห็นผีโพง มาเที่ยวหากินที่ใต้ถุน เขาจำหน้าได้ว่าเป็นคนนั้นแน่ เขาจึงเอาหอกซัดพุ่งลงไป ถูกที่กลางหลัง เขาเข้าใจว่า ผู้นั้นคงจะตาย และเมื่อเวลาเช้า ได้ไปตรวจดูที่บ้านคนนั้น ก็เห็นคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ บาดแผลก็ไม่มี เขานึกประหลาดใจเป็นอันมาก จึงไปดูในสวนของผู้นั้น เห็นหอกปักอยู่ที่กอว่าน ติดอยู่กัยหัวว่าน ที่ผู้นั้นปลูกไว้ เพราะฉนั้น เขาจึงเห็นว่า ผีโพงเกิดจาก ผู้ที่มีว่าานยาอันแรงร้าย ว่านอันแรงร้ายนั้น มักจำแลงเป็นรูปเจ้าของไปได้ (จะจริงเท็จฉันในไม่แจ้ง) ผีโพงนี้ ไม่ได้รบกวนและทำอันตรายแก่มนุษย์ โดยอุบายอย่า

ลักษณะของผีโพง

 

เปลี่ยนให้เป็นมวลสารกายสิทะาไว้ข้างรั้ว เพราะนอกจากจะนำมาเข้ากนี้ ยังมี "ะสือ โดยผีโพงนั้นจะเป็นเพศชาย ส่วนผีกระสือนั้นจ

             เมื่อผีโพงเข้าสิงสู่ร่าง ก็จะบังคับให้เจ้าของร่างออกหากินในฐานะผีโพงในตอนกลางคืน โดยผีโพงมักปรากฏตัวให้เห็นบ่อยในช่วงฤดูฝน โดยเฉพาะหลังตอนฝนตก ตามทุ่งนาและหนองน้ำ เพราะกบ เขียด มักออกหากินกันเป็นจำนวนมากในช่วงเวลาดังกล่าว ผีโพงจะใช้เวลาออกหากินประมาณครั้ง 1-3 ชั่วโมง โดยเห็นเป็นลูกๆไฟลอยไปลอยมาในคืนที่มืดสลัว หลายครั้งที่มีคนเห็นลูกไฟของผีโพงแล้วชี้ให้เพื่อนที่มาด้วยกันดู คนในกลุ่มส่วนใหญ่ในกลุ่มมักจะมองไม่เห็น ซึ่งกลายมาเป็นเรื่องที่ลี้ลับอย่างมากเลยทีเดียว

 ลักษณะของผีโพรง โดยทั่วไปจะดูเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป ถ้าหากสงสัยว่าใครเป็นผีโพง ให้ทำการสังเกตที่ผิวที่เหลืองซีด ปลายจมูกหากมองห่างๆปลายจมูกจะเป็นสีแดงมากกว่าคนทั่วไปเป็นอย่างมาก หากมองใกล้ๆจะมีเส้นเลือดแดงให้เห็นอยู่เป็นจำนวนมาก ถ้าหากผู้ถูกสิงเป็นผู้หญิงปลายผมจะมีแห้งงอมากกว่าปกติ และมีขนตาที่สั้นมากกว่าปกติ แต่เมื่อตกกลางคืนเมื่อไหร่จะกลายร่างกลายเป็นผีโพง โดยมีจุดเด่นให้สังเกตเห็นแต่ไกลคือ “ดวงไฟที่รูจมูก”

เมื่อกลายร่างผีโพงจะใช้อำนาจสะกดจิตทำให้ทุกคนในบ้านหลับสนิท แล้วเอาผ้าห่มคลุมหมอนข้างเอาไว้เพื่อหลอกตาคนในบ้าน จากนั้นผีโพงจะเอาจมูกไปเสียดสีกับบันไดบ้านให้แดงกลายเป็นลูกไฟสีแดง ม่วง เขียว บ้างว่าแสงที่เกิดขึ้นมาจากว่านผีโพง ที่ผีโพงอมเอาไว้ภายในปาก ก่อนออกไปตระเวนตามหาของดิบ ของสกปรก โดยเฉพาะเมือกกบ เมือกเขียด คาวปลาสด รกเด็กเกิดใหม่ และศพ เป็นต้น ในสมัยโบราณหลายครั้งจึงมักพบผีโพงมาด้อมๆมองๆ ตามใต้ถุนบ้านของผู้หญิงที่กำลังอยู่ไฟ เพื่อมองหารกเด็ก เลือด หรือของสกปรกที่หยดลงมาจากพื้นไม้ ทำให้คนในสมัยนั้นนิยมตัดไม้หนามมาวางรองไว้ด้านล่างเหมือนกับที่ป้องกันผีกระสือนั่นเอง

            ด้วยลักษณะพฤติกรรมในการออกหากิน และแสงสว่างตัดความมืดของว่านผีโพรงทำให้หลายครั้งถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผีกระสือ แต่จะมีความแตกต่างกันที่สามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนคือ แสงไฟของผีโพงจะสว่างแล้วดับสลับกันไปเรื่อยๆ บางครั้งก็จะมีแสงไฟตกลงจากจมูกเหมือนกับหยดน้ำ ถ้าหากแกะรอยตามแสงไฟของผีโพงไปก็มักที่จะพบกับซากของกบ เขียด ที่นอนตายตัวแข็งไร้เมือก และเลือดมากมายตามรายทาง เพราะผีโพงจะกินเฉพาะเมือกแล้วคายกบ เขียด ทิ้งไปนั่นเอง เมื่อใกล้สว่างผีโพงก็จะกลับไปนอนที่บ้านเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เนื่องจากคนที่ถูกผีโพงเข้าสิงอาจไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกสิงสู่อยู่ หรืออาจรู้ตัวบ้างเล็กน้อยแต่อาจคิดว่าสิ่งที่ตัวเองได้เห็นนั้นเป็นเพียงความฝันเท่านั้น และจะถูกสิงอยู่ตลอดเวลา แต่มักจะมีซากกบ เขียดตายอยู่ตามประตูบ้านเรือน และเสื้อผ้าที่สวมใส่เข้านอนมักจะเต็มไปด้วยดินโคลน

 

คำสาปแช่ง ของผีโพง

ผีโพง โดยพื้นฐานแล้วจะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับคนที่ถูกสิงทุกประการแถมยังขี้อาย ผีโพงจะพยายามหลบไม่ยอมให้คนอื่นเห็นใบหน้า ไม่ได้มีนิสัยดุร้าย แต่จะทำร้ายมนุษย์ก็ต่อเมื่อจำเป็นจากการถูกคุกคาม ถ้าหากใครบังเอิญไปเจอกับผีโพงเข้าอย่างจัง ผีโพงจะไม่ได้เข้ามาทำร้ายแต่จะวิ่งหนี หรืออ้อนวอนขอให้ไม่บอกคนอื่นว่าตัวเองเป็นผีโพง พร้อมกับบอกว่า “มันเป็นวิบากกรรมของมันเป็นที่ทำให้ต้องมาชดใช้กรรมแบบนี้” พร้อมกับติดสินบนปิดปากคนที่พบด้วยการเสกสิ่งของให้กลายเป็นทองคำ ถ้าไม่รับปาก หรือไม่รับสินจ้าง ผีโพงอาจเข้ามาทำร้าย หรือทำให้อีกฝ่ายกลายมาเป็นผีโพรงเหมือนกันด้วยการถ่มน้ำลายใส่ภาชนะใส่น้ำดื่มของคนนั้น รวมไปถึงการตามไปสาปแช่งครอบครัวของคนนั้น ด้วยการเสก”ก้านกล้วยแม่หม้าย” หรือก้านกล้วยที่ถูกตัดใบออกจนหมดโดยเหลือส่วนปลายไว้เล็กน้อย (คนในสมัยก่อนเชื่อว่าการฟันก้านกล้วยทิ้งหลายท่อนเป็นการป้องกันไม่ให้ผีโพงนำไปใช้) หรือคานคาบของแม่ม่ายพุ่งข้ามหลังคาบ้าน หรือใต้ถุนบ้านของคู่กรณี ส่งผลให้คนที่อาศัยอยู่ภายในบ้านหลังนั้นประสบกับเคราะห์กรรม ภัยพิบัติ และเจ็บป่วย จนหลายครั้งมีคนตายเพราะแรงสาปแช่งของผีโพงยกครอบครัวด้วยอาการซึม เศร้า เหงา ร่างกายซูบผอม อย่างไรก็ตาม ส่วนสินจ้างที่ได้รับจากผีโพงนั้นเมื่อรุ่งเช้าก็จะกลับกลายมาเป็นของไร้ค่าเหมือนเดิม แต่เมื่อรับสิ่งของมาแล้วก็ต้องรับปากไม่บอกตัวตนของผีโพงเช่นกัน เพราะไม่อย่างนั้น ผีโพงจะมีญาณรับรู้ได้ว่าคนที่รับปากนำความลับของมันไปบอกคนอื่น ก็จะตามาแก้แค้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน

            แม้ว่าผีโพงจะใช้คานแม่มายในการสาปแช่งคนที่รู้ตัวตนที่แท้จริง คานแม่ม่ายนี้ก็ยังสามารถนำมาใช้เพื่อระบุตัวตนที่แท้จริงของผีโพงได้เช่นกัน ด้วยการนำเอาไม้ค้านแม่ม่ายมาชี้ที่ตัวผีโพงที่เห็น แล้วทำการหักให้เป็นสองท่อนจากนั้นนำไปเผาไฟทิ้งเสีย ในตอนเช้าจะมีคนมาขอยืมไม้คาน ซึ่งคนๆนั้นแท้จริงแล้วคือผีโพงนั่นเอง ถ้าหากใครให้ยืมไม้คานผีโพงก็จะนำไปใช้เพื่อสาปแช่งเจ้าของบ้าน

 

การป้องกันตัวเองจากแรงอาฆาตของผีโพง

  เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหาที่เกิดขึ้นตามมาเมื่อพบกับผีโพง คนเฒ่าคนแก่จึงได้สอนคนที่ออกไปหาปลาในตอนกลางคืนว่า ถ้าหากไปพบผีโพงเข้าห้ามเข้าไปใกล้อย่างเด็ดขาด แต่ถ้าหากใครบังเอิญเจอผีโพงใกล้ๆแล้วจำได้ว่าเป็นคนรู้จัก ห้ามทักหรือเรียกชื่อร่างสิงสู่ของผีโพง ถ้าเป็นไปได้ให้พยายามเลี่ยงหนีไปอย่างเงียบๆ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าทำร้ายของผีโพงด้วยความอาฆาตโดยไม่ทันรู้ตัว แถมผีโพงบางจนก็ยังพกดาบติดตัวขณะออกหากินเผื่อเอาไว้ใช้ทำร้ายปิดปากคนที่จำหรือจับตัวผีโพงได้อีกด้วย

 

การกำจัดผีโพง

       การกำจัดผีโพรงนั้นสามารถทำได้อย่างง่ายดาย สำหรับคนที่มีคาถาอาคมหากล่วงรู้ว่าใครเป็นผีโพง ก็จะทำการร่ายคาถา แล้วทำการกลับบันไดบ้านของผีโพงเอาไว้ เมื่อผีโพงกลับมาบ้านแล้วพบว่าบ้านเป็นของตัวเอง แต่บันไดไม่ใช่ก็จะเดินวนเวียนอยู่รอบบ้านเพราะไม่สามารถเข้าไปข้างในได้ ทำให้เมื่อคนทั่วไปมาพบแล้วทัก ทายตัวตนในตอนเป็นมนุษย์ของผีโพงถูก จะทำให้ผีโพงเกิดความอับอาบอย่างมาก จนต้องหลบหนีไปอยู่ที่อื่น บางครั้งผีโพงก็จะตายภายใน 1-3 วันหลังจากนั้น ด้วยสภาพของการมีตุ่มน้ำหนองพุพองทั่วร่าง ก่อนที่จะสิ้นใจตายไปด้วยทรมาน แต่ถ้าหากผีโพงรู้ว่าใครเป็นคนที่กลับบันไดแกล้งก็จะอาฆาตแค้นอย่างมาก พร้อมกับรอคอยจังหวะให้คนนั้นอ่อนแอลงเพื่อกลับมาล้างแค้นอีกครั้ง นอกจากนี้ผีโพง ยังสามารถถ่ายทอดต่อกันได้ ด้วยการพ่นน้ำลายใส่หน้า ทานน้ำลายของผีโพรง และยังสืบทอดต่อกันไปจนถึงรุ่นลูกหลานได้อีกด้วย

            นอกจากนี้ ผีโพรงที่อยู่มานานก็มักที่จะฉลาดมากขึ้นตามไปด้วย บางครั้งถึงขนาดพกไฟฉายออกมาติดตัวในขณะหากินด้วย เมื่อพบใครเข้าก็แสร้งแก้ตัวว่าออกมาหาปลา หากบ หาเขียด ในตอนกลางคืนเหมือนกับชาวบ้านคนอื่น เพื่อไม่ให้ใครผิดสังเกตว่าเป็นผีโพงนั่นเอง...

 

ตำนานผีโพรงของชาวล้านนา

 ในนิทานของชาวล้านนา ได้มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีโพง ที่ผู้เฒ่าผู้แก่ได้นำมาใช้ในการสั่งสอนลูกหลาน ดังต่อไปนี้

             "ผีโพงมีแสงออกฮูดังใสโพงโยงหากิ๋นของคาวในยามค่ำคืน" 

 ระวังเน้อ...ล่ะอ่อนหน้อย  ออกไปเที่ยวทุ่งนายามกลางค่ำกลางคืนผีโพงผีสือมันจะยับ(จับ)เอาไปกิ๋นตับ บรรดาผู้เฒ่าทั้งหลาย ต่างสั่งสอนหล่ะอ่อนต่อนแต่นทั้งหลายว่า ผีโพงมันเป็นคนเพศชาย  ส่วนผีสือมันเป็นผู้หญิง  ผู้ที่เป็นผีโพงหรือผีสือ มันชอบกินของคาว  กินของสดๆ  เมื่อเวลาพลบค่ำหากมันหิวก็แอบไปที่เสาเรือนปื๊นกะล่าง(ใต้ถุน)ครัวไฟ  เอาฮูดัง(จมูก)ถูไถโคนเสาจนปลายฮูดังมันร้อนออกแสงใสโพงโยง  หากเป็นผีโพงแสงสีออกเขียวๆ  หากเป็นผีสือเพศหญิงแสงออกสีแดงๆเรื่อๆ

            เมื่อมีแสงออกปลายฮูดังหรือปลายจมูกมันแล้วก็ออกเดินไปหากิน  ส่วนมากจะเป็นทุ่งนาป่าเขาที่มีกบเขียดมากมาย  หากพบเหยื่อมันจับขึ้นมายัดเหยื่อเข้าปากดิ้นกระดุบๆ แล้วอมรูดเอาเมือกคาวออกมากลืนเข้าท้องอย่างอร่อยลำแต๊ๆ เสร็จแล้วทิ้งซากสัตว์ไว้ตามพื้นดินแถวๆนั้น รุ่งขึ้นผู้คนมักจะเดินไปพบซากสัตว์ที่แบนตะแล้ดแต้ดนอนตายทั่วไป  ผู้ที่พบเห็นก็จะทราบว่าแถวๆนี้มันมีผีโพงออกล่าเหยื่อ   ต่างก็โจทย์ขานบอกต่อกันไป

            เมื่อเราไปเที่ยวตามทุ่งนายามกลางคืนหากเห็นดวงไฟไกลๆสีเขียวบ้าง สีแดงออกเรื่อๆบ้าง ก็เชื่อแน่ว่านั่นคือผีโพงหรือผีสือแล้วแต่โอกาสโชคอำนวยที่ได้ให้พบ  ขออย่างเดียวอย่าตกใจโกยแน้บ จนก้นตั้งป้อด(ล้มก้นกระแทก)ตกคันนาปั้กกะดิ้ก(คะมำ)หัวทิ่มลงขี้เป๊อะ(โคลน)จ๋นแก๊นอึ้กแก๊นอั้ก(สำลัก) ก็แล้วกัน

   มีอยู่บ้างที่ผู้คนฉวยโอกาสทั้งๆที่ตนเองไม่ได้เป็นผีโพงผีสือ  แต่ด้วยนิสัยที่เป็นหัวขี้ขโมยออกหากินยามพลบค่ำ แอบลักของชาวบ้าน จับสัตว์เลี้ยงชาวบ้านไปกิน  หรือไอ้หนุ่มตัวดี แอบนัดสาวลงมาพร่ำรักกันใต้ถุนบ้าน  บางครั้งก็เป็นไอ้หนุ่มถ้ำมองมันจะแฝงตัวมาอาละวาดเวลาเดียวกันกับผีโพงผีสือออกล่าเหยื่อ  ด้วยที่ฮูดังมันไม่มีแสง แต่มันมีผมสีดำธรรมดาๆ  ผู้คนจึงเรียกคนประเภทนีว่า " ผีโพงดำ"  ก็เป็นอันเข้าใจกันว่ามันไม่ใช่ผีโพงหรือผีสือตัวจริง  ด้วยเหตุที่กลัวผีโพงหรือผีสือจะเข้าปื๊นกะล่าง(ใต้ถุน)ผู้คนจึงตัดต้นหนามเล็บแมวมาวางไว้ใต้ถุนบ้านโดยเฉพาะบ้านที่มีหญิงอยู่เดือน(อยู่ไฟ)มักจะมีเลือดตกค้างตอนคลอดลูกที่ทิ้งลงตามฮูจ้อง(รูช่องกระดานพื้นบ้าน)จะตัดหนามเล็บแมวมากองถมที่ๆเลือดตก  กันผีโพงผีสือมาเลียกิน...

            จากเรื่องเล่านี้จะเห็นได้ว่า ชาวล้านนาได้จัดกลุ่มของผีโพง อยู่ในหมวดหมู่เดียวกับผีกระสือ โดยผีโพงนั้นจะเป็นเพศชาย ส่วนผีกระสือนั้นจะเป็นเพศหญิง และมีลักษณะในการออกหากินและการพบเห็นที่ใกล้เคียงกัน อีกทั้งยังมีการเตือนให้ระมัดระวังในตอนออกไปทุ่งนาหรือสัญจรในตอนกลางคืน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผีโพงอีกด้วย ในขณะเดียวกันก็มีหนุ่มๆที่ใช้เรื่องของผีโพรงมาบังหน้าเพื่อทำการถ้ำมองสาวๆอาบน้ำในตอนกลางคืน จนถูกเรียกว่า “ผีโพรงดำ” เพราะไม่มีแสงที่จมูกอีกด้วย

   สำหรับตำนานการพบเห็นผีโพงนั้น มีหลายเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมา เช่น เรื่องของว่านผีโพง ที่ปรากฏตัวในตำบลพลับพลา อำเภอโคชัย จังหวัดนครราชสีมา บริเวณนั้นมีหมู่บ้านหนึ่งเรียกว่าบ้านหนองผีหลอก ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนาและไร่มันสำปะหลัง เป็นเวลากว่าร้อยปีที่หมู่บ้านแห่งนี้ได้รับคำร่ำลือว่า หนองน้ำที่มีพื้นที่กว่า 100 ไร่ ที่ตั้งอยู่ใกล้กับด่านเกวียนมักมีว่านผีโพงออกมาจับกบ เขียด เป็นอาหารบ่อยครั้ง จนทำให้คนในพื้นที่ไม่กล้าผ่านสัญจรไปมาในตอนกลางคืน  

            ในเรื่องเล่าของขุนมหาวิชัย ยังได้กล่าวถึงการเผชิญหน้าและต่อสู้กับผีโพงเอาไว้ว่า มีชายคนหนึ่งเห็นผีโพงมาหากินที่ใต้ถุนบ้าน และจำได้ว่าเป็นใครจึงได้เอาหอกซัดใส่กลางหลังของผีโพง ตอนแรกเข้าใจว่าผีโพงน่าจะตายเพราะพิษบาดแผลแต่เมื่อไปตรวจสอบดูในตอนเช้า ปรากฏว่าคนที่เป็นร่างสิงสู่กลับยังคงใช้ชีวิตตามปกติโดยไม่มีบาดแผลเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อไปตรวจดูในสวนของคนที่เป็นผีโพงกลับพบหอกที่ซัดไปปักคาอยู่กับหัวว่านที่ถูกปลูกเอาไว้ ทำให้มั่นใจว่าผีโพงที่ได้เห็นและถูกหอกซัดใส่คือว่านผีโพงที่จำแลงกายในรูปลักษณ์ของเจ้าของออกไปหากินนั่นเอง

bottom of page